วิชา ก้าวทันโลกศึกษา2

                            กฎหมาย
               
              ความหมายของกฎหมาย
      นักปรัชญาทางกฎหมาย  ได้ให้ความหมายคำว่า  “กฎหมาย”  ดังนี้
 1.โธมัส  ฮอบส์ และ จอห์น  ออสติน   กล่าวว่า  กฎหมาย  หมายถึง คำสั่งหรือคำบัญชาของรัฎฐาธิปัตย์(ผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ)  สั่งแก่ราษฎรทั้งหลาย  ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องถูกลงโทษ
 2.พระบรมวงค์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์   ได้รับยกย่องเป็นบิดาแห่งกฎหมายไทย  พระองค์ทรงกล่าวว่า  “กฎหมาย  คือ  คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลายเมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ”
3.ศาสตราจารย์หลวงจำรูญเนติติศาสตร์  นักกฎหมาย  อธิบายว่า “กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อห้ามซึ่งมนุษย์เคารพในความประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  อันมาจากรัฎฐาธิปัตย์  หรือมวลมนุษย์  มีลักษณะทั่วไปใช้บังคับได้เสมอไปและจำต้องปฏิบัติตาม”
 4.   ศาสตราจารย์  ดร.หยุด  แสงอุทัย  นักกฎหมาย  อธิบายว่า “  กฎหมาย  คือ  ข้อบังคับของรัฐ  ซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์  ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้าย  หรือ  ถูกลงโทษ”
          
            จากคำจำกัดความ  ของคำว่ากฎหมาย  ของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย  ข้างต้น  สรุปได้ว่า  
“ กฎหมาย”  คือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฎฐาธิปัติย์  ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดความประพฤติของมนุษย์  มีลักษณะที่ใช้ได้ทั่วไป  และใช้บังคับได้เสมอ   ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ”


       ความสำคัญของกฎหมาย
 1.กฎหมายเป็นกติกาสำคัญในการจัดการปกครองบ้านเมือง  กฎหมายกำหนดขอบเขตอำนาจผู้ปกครอง  อันได้แก่  หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ  รวมทั้งหน้าที่ของพลเมืองที่มีต่อรัฐพร้อมกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน  และระหว่างประชาชนด้วยกันเอง  อันเป็นกติกาสำคัญที่ทำให้การปกครองบ้านเมืองดำเนินไปอย่างราบรื่น
  2.กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิ  เสรีภาพ  และความเสมอภาคฃของประชาชน ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของกฎหมาย  ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  พร้อมทั้งมีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน
   3.กฎหมายเป็นกลไกที่ทำให้สังคมเป็นระเบียบและสงบสุข กฎหมายบังคับให้ผู้คนประพฤติสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม  และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ในขณะเดียวกันก็ห้ามไม่ให้ผู้คนกระทำในสิ่งที่จะสร้างความเดือดร้อนรบกวนผู้อื่น  หรือก่อความเสียหายแก่ส่วนรวม  ทำให้เกิดบ้านเมืองที่น่าอยู่  มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สงบสุข
         ประเภทของกฎหมาย
แบ่งเป็น  ๒  ประเภท  คือ  กฎหมายมหาชน   และ   กฎหมายเอกชน
  1.  กฎหมายมหาชน  เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ  หรือหน่วยงานของรัฐกัประชาชน  โดยรัฐและหน่วยงานของรัฐเป็นฝ่ายผู้ปกครองซึ่งมีฐานะเหนือกว่าประชาชน  กฎหมายที่จัดอยู่ในประเภทกฎหมายมหาชนได้แก่กฎหมาย ต่อไปนี้
   1.1รัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
   1.2 กฎหมายปกครอง   เป็นกฎหมายที่กำหนดหลักการและรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการบริหารประเทศ
   1.3กฎหมายอาญา   เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่เป็นความผิด  และการกำหนดโทษในการกระทำความผิด  ได้แก่  ประมวลกฎหมายอาญา  และพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญา
   1.4กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา   เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการและวิธีปฏิบัติในการดำเนินคดีอาญา 
   1.5กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการปฏิบัติในการฟ้งร้องดำเนินคดีทางแพ่ง
   1.6    กฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลยุติธรรม  เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับการจัดตั้งศาล  และอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและของผู้พิพากษา
2.กฎหมายเอกชน  เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน  ในฐานะเท่าเทียมกัน  เช่นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัว  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย  กฎหมายเอกชนแบ่งออกเป็น  2  สาขา  คือ  กฎหมายแพ่ง  และกฎหมายพาณิชย์  ในประเทศไทยได้รวมกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้ในประมวลกฎหมายฉบับเดียวกัน  คือ  ประมวลกำหมายแพ่งและพาณิชย์

  1.กฎหมายแพ่ง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิ  หน้าที่  และความสัมพันธ์ของเอกชนโดยทั่วไป  ซึ่งไม่ส่งผลกระทบไปถึงสาธารณชนในส่วนรวม  เช่น  บัญญัติในเรื่องครอบครัว  มรดก  ทรัพย์  หนี้ 
2.กฎหมายพาณิชย์  เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับผู้ประกอบการค้า  หรือประกอบธุรกิจในลักษณะที่อาจส่งผลกระทบไปในวงกว้าง  เช่น  การลงทุนร่วมกันในลักษณะของบริษัท  ธุรกิจบริการที่เกี่ยวกัประชาชน
จำนวนมาก

   - ประเภทกฎหมายแบ่งตามองค์กร  ที่จัดทำกฎหมาย  จำแนกได้   3  ประเภท
1.  กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ   ได้แก่  พระราชบัญญัติ  เป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ  จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนจึงจะประกาศใช้บังคับได้  ร่างพระราชบัญญัติจะได้รับการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรก่อน  เมื่อสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบแล้ว  วุฒิสภาจะนำมาพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง  วุฒิสภาเห็นชอบแล้ว  นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ  เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ก็ประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับได้
   2. กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร  ได้แก่  กฎหมายดังต่อไปนี้
2.1พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพื่อประโยชน์ของประเทศ  หลังจากประกาศใช้พระราชกำหนดแล้ว  คณะรัฐมนตรีจะต้องรับนำพระราชกำหนดนั้นเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณา  ถ้ารัฐสภาอนุมัติก็จะมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป หากรัฐสภาไม่อนุมัติก็ให้พระราช   กำหนดนั้นตกไป
2.2 พระราชกฤษฎีกา  เป็นกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีมีอำนาจจัดทำขึ้นโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา  เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในร่างพระราชกฤษฎีกาแล้วนายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย  แล้วจึงประกาศใช้บังคับ
2.3กฎกระทรวง  เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงตราขึ้นใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง กฎกระทรวงจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
3.กฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองท้องถิ่น  ได้แก่  กฎหมายที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตราขึ้นใช้บังคับในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ  เพื่อปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ 

  ศักดิ์ของกฎหมาย 
          ศักดิ์ของกฎหมาย ( hierachy of law) คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมาย การจัดศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย เช่น หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่อยู่ในลำดับต่ำกว่าจะมีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับกฎหมายสูงกว่านั้นมิได้ และอาจถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย
         

    เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายได้แก่ การพิจารณาจากผู้ตรากฎหมายฉบับนั้น ๆ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ       
       สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยผู้แทนของปวงชนคือรัฐสภา เป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาร่วมกันใช้อำนาจสูงสุดแห่งรัฐในการออกกฎหมาย จึงให้มีศักดิ์สูงสุด ส่วนที่มีศักดิ์รองลงมาได้แก่ พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด ซึ่งได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงผ่านไปยังวุฒิสภา เป็นการแยกกันใช้อำนาจลำดับศักดิ์ของกฎหมาย 
      ว่ากันแต่ประเทศไทยในปัจจุบัน มีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่ากฎหมายส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในรูปลายลักษณ์อักษรมากที่สุด
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
         

        รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนรับรองและส่งเสริมสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายอื่นทุกฉบับ กฎหมายอื่นจึงจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ มิเช่นนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เลย       
       มักมีผู้เรียก "รัฐธรรมนูญ" ว่า "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" พึงทราบว่า "กฎหมายรัฐธรรมูญ" (: constitutional law) นั้นเป็นคำเรียกสาขาวิชาทางนิติศาสตร์และเรียกกฎหมายมหาชนแขนงหนึ่งซึ่งว่าด้วยการวางระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง ส่วน "รัฐธรรมนูญ" (: Constitution) นั้นคือกฎหมายจริง ๆ ฉบับหนึ่งซึ่งจัดระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง         
       กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายชนิดนี้อยู่ในรูปของพระราชบัญญัติในประเทศไทย และมีศักดิ์เดียวกันกับพระราชบัญญัติแต่มีวิธีการตราที่พิสดารกว่าพระราชบัญญัติเนื่องเพราะเป็นกฎหมายที่อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ        
      พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นกฎหมายที่ถือได้ว่าคลอดออกมาจากท้องของรัฐธรรมนูญโดยตรง องค์กรที่มีหน้าที่ตรากฎหมายสองประเภทนี้ได้แก่รัฐสภา      
      พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการตราให้แก่ฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ใช้ในกรณีรีบด่วนหรือฉุกเฉิน พระราชกำหนดนั้นเมื่อมีการประการใช้แล้วคณะรัฐมนตรีต้องนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้ามิได้รับความเห็นชอบก็เป็นอันสุดสุดลง แต่ผลของการสิ้นสุดลงนี้ไม่กระทบกระเทือนบรรดาการที่ได้กระทำลงระหว่างใช้พระราชกำหนดนั้น        
      พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นหลักการย่อย ๆ ของพระราชบัญญัติหรือของพระราชกำหนด เปรียบเสมือนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่อธิบายขยายความในรัฐธรรมนูญ       
      กฎองค์การบัญญัติ เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นตราขึ้นและใช้บังคับภายในเขตอำนาจของตน ได้แก่ ข้อบังคับตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา เนื่องจากอำนาจในการตรากฎหมายประเภทนี้ได้รับมาจากพระราชบัญญัติ โดยทั่วไปจึงถือว่ากฎองค์การบัญญัติมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติชั่วแต่ว่าใช้บังคับภายในเขตใดเขตหนึ่งเป็นการทั่วไปเท่านั้น
          กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา มีลักษณะคล้ายพระราชกฤษฎีกาเพราะศักดิ์ของผู้ตราต่างกัน
          รองศาสตราจารย์ทัชชมัย ฤกษะสุต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า
"เมื่อพระราชกฤษฎีกากับกฎกระทรวงมีความใกล้เคียงกันมาก ข้อที่พิจารณาให้เห็นถึงความแตกต่างกันว่าควรจะออกกฎหมายในรูปพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เนื้อหาของกฎหมายที่ต้องการบัญญัตินั้นมีความสำคัญเพียงใด ซึ่งหากมีความสำคัญเป็นอย่างมากจะออกมาในรูปของพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าก็ออกในรูปของกฎกระทรวง"
ผลการจัดศักดิ์ของกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร         
1. การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าหรือตามที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้อำนาจไว้
          2. กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายศักดิ์สูงกว่า จะออกมาโดยมีเนื้อหาเกินกว่าขอบเขตอำนาจที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้ไว้มิได้ มิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้เลย
          3. หากเนื้อหาของกฎหมายมีความขัดแย้งกัน ต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าบังคับ ไม่ว่ากฎหมายศักดิ์สูงกว่านั้นจะออกก่อนหรือหลังกฎหมายศักดิ์ต่ำกว่านั้น
                
                          
                      คลิกเข้าทำแบบทดสอบ